วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

อังกฤษ

หลักการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ

(VERB)
โดย  อาจารย์นิวาต   สมฟอง

          ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับนักศึกษาก่อน  เรื่องการใช้คำกิริยาในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ  ซึ่งในปัจจุบันนี้นักศึกษาจะเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสาร  ระหว่างกัน ยิ่งในยุคที่เรียกว่า ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน หรือ Globalization คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า  ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก  ซึ่งอาจารย์ผู้เขียนเอง ได้กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า คนยุคใหม่ถ้าไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย ก็ดูเหมือนว่าจะล้าสมัยเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหากนักศึกษามีความต้องการที่เข้าใย ( ต้องขอใช้คำว่า เข้าใจ ) นะครับ เพราะถ้าใช้คำว่า เก่ง ก็คงต้องใช้เวลาศึกษาหลายปีทีเดียว ดูเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่ห่างไกลเหลือเกิน .
          นักศึกษาต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเองมีความชอบหรือมีทัศนคติอย่างไรกับการเรียนภาษาอังกฤษ ?  ทำไม ต้องถามอย่างนั้น  ก็เพราะว่า อย่างน้อยเราจะได้รู้ถึงขีดความสามารถของตัวเอง หรือขอบเขตความต้องการของเราก่อน
          แต่รู้หรือไม่ครับ  มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง  ที่สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศเขาบังคับให้นักศึกษาได้เรียนกัน
          หากเราทำความเข้าใจและมีใจชอบหรือมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว   ภาษาอังกฤษก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก   เพราะไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของผู้ต้องการใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
          การเรียนภาษาอังกฤษ  หากจะเปรียบกับการฝึกจักรยานมันก็เป็นสิ่งที่ยากตอนเริ่มฝึกใหม่ เท่านั้นเอง   อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง  ก็เป็นเรื่องธรรมดา  แต่ หากฝึกได้  บังคับทิศทางได้มันก็ไม่ยากอะไรเลย
          ในการศึกษาภาษาอังกฤษนั้น ในปัจจุบันยิ่งสะดวกสบาย  เนื่องจากว่ามีคู่มือมากมายหลายสำนักได้เขียนออกมา  ซึ่งเราสามารถนำมาประกอบการเรียนได้อย่างดีเลยที่เดียว
          อยากเก่งและเข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนคนอื่นเขาหรือเปล่า ?
          ทีนี้อาจารย์ผู้เขียนจะได้แนะเคล็ดที่ไม่ลับให้กับเหล่านักศึกษา เมื่อเรียนกับอาจารย์แล้วรับรองว่าจะเข้าใจภาษาอังกฤษและรักมันมากยิ่งขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว  ลองติดตามกันดู
          หลักการง่าย ที่เราจะเข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง  ไม่อยากบอกว่ามี 3 อย่างคือ  ประธาน + กิริยา + กรรม ( subject + verb + object )  เช่น 
The  students   go  to  school  by  the  bus.
มีหลายคนที่ไม่เข้าใจเลย  เนื่องจากไม่มีหลักในการจับ  เมื่อเห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษก็งง เป็นไก่ตาแตกเลย.
          จากตัวอย่างข้างต้นที่ได้ยกมานั้น  เราจะรู้ว่าประโยคนี้เขากล่าวถึงอะไรและหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไหน   เป็นอดีต  ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต    ซึ่งในที่นี้เราจะใช้หลักการสังเกตจากคำกิริยานั่นเอง   จากประโยคที่ว่า   The  students  go  to  school  by  bus.  กิริยาในประโยคคือ  go  เป็นตัวบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  ทั้งนี้เพราะว่า กิริยาเป็นรูปปัจจุบัน

          ทีนี้เรามาทราบรายละเอียดกันเลยครับ

คำกิริยา
( VERB )
          Verb คือ  คำที่แสดงถึงอาการต่าง  หรือเหตุการณ์ต่าง ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  คำพูดที่แสดงถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกิริยาด้วยกันนั่นเอง  กิริยาเป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญในแต่ละประโยค  ถ้าในประโยคนั้น ขาดคำกิริยา  ความหมายก็ไม่เกิดและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์
          คำกิริยาตามหน้าที่แบ่งออกเป็น  3 ประเภท คือ
1.  สกรรมกิริยา ( Transitive  Verb ) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม หรือคำอื่นเข้ามารองรับความหมายจึงจะสมบูรณ์ เช่น The  boys  kick  football  in  the  field. หมายความว่า 
พวกเด็ก เตะฟุตบอลอยู่ที่สนามหญ้า  คำว่า kick   เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์ว่าในขณะนี้หรือปัจจุบันนี้เด็ก กำลังเล่นกันอยู่ ส่วนคำว่า football เป็นตัวกรรมหรือตัวที่ทำหน้าที่รองรับกิริยาให้มีความหมายสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า kick คำเดียวความหมายไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเตะอะไร นั่นเอง
          2. อกรรมกิริยา ( Intransitive  Verb )  คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรมหรือคำอื่นมารองรับก็ได้ความหมายสมบูรณ์เช่น  The  dogs  run  in  the  field.  ประโยคนี้ไม่ต้องมีตัวกรรมมารองรับ ก็ได้ใจความสมบูรณ์ดี  ซึ่งคำว่า  run แปลว่า วิ่ง คงไม่ต้องถามว่าใช้อะไรวิ่งนะครับ
          3.  กิริยาช่วย (  Helping  Verb หรือ  Auxiliary  Verb ) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วยกันมีความหมายดีขึ้น และยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเองมีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นได้ดีอีกด้วย  เช่น  She  studies  in  Lamp Tech  college .  Does  she  study  in  Lamp Tech College ?



วิธีใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ
( HOW  TO USE  VERB  )
          คำกิริยาในภาษาอังกฤษตามหลักไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 3 ช่อง เรียกว่า กิริยา 3 ช่อง ซึ่งแต่ละช่องก็บอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเวลาได้อีกด้วย  ตามตัวอย่างในตาราง ต่อไปนี้


ช่องที่ 1
ช่องที่ 2
ช่องที่ 3
run
ran
run
see
saw
seen


กิริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
กิริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
กิริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและอดีต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา หรือ Complement  
          ***  ตามความเห็นของอาจารย์ผู้เขียนนะครับ  เปรียบคำกิริยาเหมือนกับผู้กำกับหนังหรือละคร  ตัวประธาน ก็เหมือนพระเอกหรือนางเอก ส่วนตัวกรรมก็เหมือนกับบทบาท ของนักแสดงทั้งหมด ที่ผู้กำกับต้องคอยป้อน ว่าจะให้สมบทบาทแค่ไหน หรือแสดงออกมาสมจริงอย่างไร.

คำกิริยามีวิธีใช้อยู่ 2 วิธี คือ

1.    ใช้เป็นกิริยาแท้ของประโยคที่มีตัวประธานเป็นบุรุษสรรพนาม
( ยกเว้นสรรพนามบุรุษที่ 3 )และตัวประธานที่เป็นพหุพจน์ เช่น
                   I
                   We               want  a  book.

                   You

                   they
          The  boys  want   some  books.
2.  ใช้เป็นคำแสดข้อความที่มี  to  นำหน้ากิริยา เช่น   to work , to  go ,  to run , to buy เป็นต้น
          ทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมานั้นก็เป็นส่วนของคำกิริยา ซึ่งนักศึกษาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับนักศึกษา.
          กล่าวโดยสรุปแล้ว คำกิริยาที่ได้ยกมาพูดตั้งแต่ต้น สามารถสรุปได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
1.    กิริยาแท้  ( Finite  Verb )
2.    กริยาช่วย  (Auxiliary  Verb )
ในส่วนของกิริยาช่วยนั้นอาจารย์ผู้เขียนเอง ขอกล่าวเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ซึ่งได้ผ่านหูผ่านตานักศึกษามาบ้างแล้ว  นั่นก็คือ
1.    Verb  to  be  ( is , am , are , was , were  )  แปลว่า เป็น,  อยู่ , คือ
2.    Verb  to  have ( has , have , had ) แปลว่า  มี
3.    Verb  to  do ( do , dose, did ) แปลว่า ทำ
โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นว่า คำกิริยา ก็จะเป็นตัวแปร หรือตัวช่วยที่สำคัญ ที่ช่วยให้เราได้รู้
ถึงคำอื่น ที่เกี่ยวข้องในแต่ละประโยค ที่เรียกว่า เหตุการณ์
          ก่อนที่จะยุติเรื่องการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้นักศึกษาดู เพื่อประกอบการทำความเข้าใจ  ขอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในชีวิตประจำวัน
          Manit  is  a  student  of  this  college. Every  day  he  gets up at  06.00 oclock and  then  he hurry takes a  shower, cleans his  shoes and  gets  dressed. His  house is near  the  college  about  4 kilometers , some  times when  it is  raining  he  is going  to  take  a motorcycle  with  his  friend.
          คำที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรสำดำนั้น  ล้วนแต่เป็นคำกิริยาทั้งสิ้น ซึ่งบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และยังบอกให้เราทราบว่าเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันอีกด้วย  ทั้งนี้สังเกตที่คำกิริยานั่นเอง
          หากนักศึกษาอยากเข้าใจให้มากขึ้นกว่านี้  นักศึกษาต้องพยายามอ่าน  พูด และเขียนให้เยอะ จะได้มีทักษะมากขึ้น และในที่สุดการใช้ภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่ง่าย
          และก่อนจาก ขอฝากข้อคิดไว้ว่า ไม่มีคำว่าแพ้  ในหมู่นักสู้
ความล้มเหลวของนักสู้  มิใช่อยู่ที่เคยพ่ายแพ้มาก่อน  แต่ อยู่ที่ไม่ยอมเริ่มต้นต่างหาก