วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พันธะเคมี( เคมี)

พันธะเคมี

พันธะเคมี คือแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลหรือระหว่างโมเลกุลด้วยกันเองเพื่อทำให้วาเลนต์อิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับแปด เพื่อที่จะทำให้อะตอมนั้น ๆ มีความเสถียรและสามารถดำรงค์อยู่อย่างอิสระ พันธะเคมีสามารถแบ่งได้หลายประเภท เช่น
การศึกษาเรื่องพันธะเคมีทำให้สามารถรู้จุดเดือดของสารได้

ตัวต้านทานไฟฟ้า(ฟิสิกส์)

ตัวต้านทานไฟฟ้า (Resistor)


           เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมามีค่าเฉพาะค่าค่าหนึ่งที่ใช้ในการต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้มากที่สุด
ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์มักเรียกสั้นๆ ว่า อาร์ “R” มีคุณสมบัติในการลดกระแสและแรงดันไฟฟ้า   โดยสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง แรงดันไฟฟ้ากระแสตรง และแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับสัญลักษณ์ของความต้านทาน (Symbol)




สัญลักษณ์ของตัวต้านทาน



หน่วยของความต้านทาน (Resistance)
           ค่าความต้านทานของตัวต้านทาน ถูกกำหนดให้มีหน่วยเรียกเป็น โอห์ม (OHM) เขียนแทนด้วยเครื่องหมายอักษรกรีกโบราณ คือ (โอเมก้า หรือ โอห์ม) ซึ่งได้จากค่ามาตรฐาน โดยการเอาแรงดันไฟฟ้า 1 โวลต์ ต่อกับความต้านทาน 1 โอห์ม และทำให้มีกระแสไหลในวงจร 1 แอมแปร์ ประกอบด้วย หน่วยค่าความต้านทานต่าง ๆ ดังนี้
                            1000  (โอห์ม) เท่ากับ 1 K (กิโลโอห์ม)
                            1000 K (กิโลโอห์ม) เท่ากับ 1 M (เมกกะโอห์ม)
           ตัวต้านทาน บอกค่าความสามารถในการทนกำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็น วัตต์ (Watt)

ชนิดของตัวต้านทาน (Type of Resistors)
           ตัวต้านทานที่ถูกนำมาใช้งานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จะมีหลายรูปแบบหลายชนิดตามความเหมาะสมของการใช้งาน
โดยจะแบ่งออกเป็นพวกใหญ่ๆ ดังนี้
           1. ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่ (Fixed Resistors)
           2. ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้ (Variable Resistors)
           3. ตัวต้านทานชนิดพิเศษ (Special Resistors)


1. ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่ (Fixed Resistors)
          เป็นตัวต้านทานที่มีค่าถูกกำหนดแน่นอนเพียงค่าเดียวในแต่ละตัว โดยจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของวัสดุที่นำมาทำเป็นโครงสร้าง เช่นตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์ (Wire-Wound Resistors) เป็นตัวต้านทานชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นลวดความต้านทาน ซึ่งทำมาจากโลหะผสมนิกเกิลโครเมียม โดยพันอยู่บน
ฉนวนเซรามิค ใช้ในวงจรที่มีกำลังงานสูง สามารถทนกำลังงานได้ตั้งแต่ 2 วัตต์ จนถึง 100 วัตต์ หรือมากกว่า และมีค่าความต้านทานตั้งแต่ 1 โอห์มจนถึงค่าเป็นกิโลโอห์มแต่จะไม่สูงมาก การบอกค่าความต้านทานจะเขียนเป็นค่าตัวเลขไว้ที่ตัวโครงสร้างภายนอก ใช้สำหรับงานอุตสาหกรรม หรืองานที่ต้องใช้ กำลังสูง เช่นในระบบจ่ายแรงดันไฟฟ้า หรือเครื่องขยายกำลังวัตต์สูงๆ


รูปแสดงลักษณะของตัวต้านทานชนิดไวร์วาวด์

    ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนฟิล์ม (Carbon-Film) หรือ ฟิล์มโลหะ (Metal-Film Resistors)
        เป็นตัวต้านทานชนิดที่มีการนำมาใช้งานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานมากที่สุด โครงสร้างทำมาจากผงคาร์บอนหรือ
วัสดุแกรไฟต์ ที่มีความทน ทานต่อการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิและแรงดันได้ดี มีค่าความต้านทาน   ตั้งแต่ 1 โอห์ม จนถึง 20 เมกกะโอห์ม ซึ่งค่าความต้านทานแต่ละค่าแตกต่างกันเนื่องจากความหนาแน่นของวัสดุที่ใช้ทำไม่เท่ากัน มีขนาดทนกำลังงาน
ตั้งแต่ 1/10, 1/8, 1/4, 1/2, 1 หรือ 2 วัตต์ มีค่าความผิดพลาด ± 5 %, ± 10 % หรือ ± 20 %
นิยมบอกค่าความต้านทานเป็นรหัสแถบสี



รูปตัวต้านทานชนิดคาร์บอนฟิล์ม

2.  ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้ (Variable Resistors)
         เป็นตัวต้านทานที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานได้ โครงสร้างมีทั้งแบบที่ใช้ลวดพันหรือไวร์วาวด์
และใช้ผงคาร์บอนพันหรือฉาบบนฉนวน มีแกนต่อกับหน้าสัมผัสเพื่อการปรับเปลี่ยนค่าความต้านทาน ถูกนำไปใช้ในงานวงจรที่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนค่า มีรูปแบบที่ใช้งานหลายลักษณะเพื่อให้เหมาะสม







รูปลักษณะโครงสร้างและสัญลักษณ์ของตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้


    โพแทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometer) เรียกสั้นๆ ว่า พอท (POT) หรือที่นิยมเรียกกันว่า วอลุ่ม (Volume) มีทั้งชนิดที่เป็นแกนหมุน (Rotary) และชนิดที่เป็นแกนเลื่อน (Slide) ทำจากคาร์บอน จะมีค่าความต้านทาน ตั้งแต่ 1 KW ถึง 5 MW อัตราการทนกำลังงานต่ำ
ได้ประมาณ 1/2 –2 วัตต์ ถ้าเป็นชนิดไวร์วาวด์ จะมีอัตราการทนกำลังงานได้สูงและมีการเปลี่ยนแปลงค่าได้ละเอียดกว่าชนิดผงคาร์บอน

ทริมพอท (Trim pot) หรือที่เรียกว่า วอลุ่มเกือกม้า เป็นวอลุ่มขนาดเล็กไม่มีแกนปรับส่วนมากจะถูกออกแบบให้ยึดติดแผ่นวงจร ภายในของเครื่องโดยมากจะเป็นชนิดผงคาร์บอน เขียนค่าความต้านทานไว้เป็นตัวเลข ถ้าต้องการปรับค่าจะต้องใช้อุปกรณ์ช่วย
เช่น  ไขควงเล็ก



ตัวต้านทานปรับค่าได้แบบทริมพอท



การเลือกใช้ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้

     วอลุ่มถูกนำไปใช้งานในการปรับแต่งหรือควบคุมต่าง ๆ เช่น ควบคุมความดังของเสียง (Volume Control) ควบคุมความเข้มของสี
(Color Control)วอลุ่มบอกค่าความต้านทานและชนิดเป็นตัวเลขและตัวอักษร ไว้ที่ตัวของวอลุ่ม แบบแกนหมุนสามารถหมุน
แกนโดยรอบ ได้ประมาณ 300 องศา แต่ละชนิดจะมีลักษณะ อัตราส่วนความต้านทานที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน

ชนิด เอ (A-type) เป็นชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงความต้านทานจากน้อยไปหามาก เป็นอัตราส่วนแบบทวีคูณ (Log scale)
ชนิด บี (B-type) เป็นชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงความต้านทานจากน้อยไปหามาก เป็นอัตราส่วนแบบสม่ำเสมอเชิงเส้น
ชนิด ซี (C-Type) เป็นชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงความต้านทานจากน้อยไปหามาก เป็นอัตราส่วนแบบทวีคูณ หรือแบบ แอนติล็อก (Antilog)
ชนิด เอ็มเอ็น (MN-Type) เป็นวอลุ่มชนิดที่ถูกออกแบบมาใช้เป็นวอลุ่มสำหรับการปรับเสียงลำโพงซ้าย-ขวา (Balance) ในระบบสเตริโอ


ตัวต้านทานชนิดพิเศษ (SPECIAL RESISTORS)

         เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะพิเศษ จะกล่าวได้เฉพาะอุปกรณ์ที่มีโครงสร้างเป็นความต้านทานซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงค่า
ความต้านทาน ได้ด้วยองค์ประกอบต่างๆ

แอลดีอาร์ (LDR = Light Dependent Resistors) หรือตัวต้านทานไวแสง
         เป็นอุปกรณ์ที่ค่าความต้านทานเปลี่ยนแปลงตามความเข้มของแสงที่ได้รับ  เนื่องจากแอลดีอาร์ถูกสร้างขึ้นมาจากสารกึ่งตัวนำ
ที่มีความไวต่อแสงมาก เช่น แคดเมียมซัลไฟด์ สามารถเปลี่ยนค่าความต้านทานได้ตั้งแต่ 100 โอห์ม ถึง 1 เมกกะโอห์ม ใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจสอบทางแสงต่าง ๆ เช่น ตรวจวัดระดับความเข้มของแสงที่ใช้ในกล้องถ่ายรูป เป็นต้น

เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) เป็นอุปกรณ์ความต้านทานชนิดที่สามารถเปลี่ยนค่าความต้านทานเมื่อได้รับความร้อน ถูกนำไปใช้งานในการตรวจสอบอุณหภูมิความร้อนมีการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานเป็น 2 ลักษณะ คือ

แบบพีทีซี (PTC = Positive Temperature Comitial) เป็นชนิดที่ปกติจะมีค่าความต้านทานต่ำ เมื่อได้รับความร้อนจะทำให้มีค่าความต้านทานสูงขึ้นตามลำดับอุณหภูมิ นำไปใช้ตรวจสอบระดับความร้อน หรือทำให้เกิดความร้อนขึ้นเพื่อควบคุมการจ่ายแรงดันไฟฟ้าให้กับขดลวด  เช่น วงจรล้างสนามแม่เหล็กอัตโนมัติของเครื่องรับโทรทัศน์สี (Degaussing coil) เป็นต้น 

แบบเอ็นทีซี (NTC = Negative Temperature Comitial) เป็นชนิดที่ปกติจะมี

ความต้านทานสูงเมื่อได้รับความร้อน ค่าความต้านทานจะต่ำลง ใช้งานด้านการตรวจสอบความร้อนเพื่อควบคุมระดับการทำงาน เช่น ในวงจรขยายเสียงที่ดีใช้ตรวจจับความร้อนที่เกิดจากการทำงานแล้วป้อนกลับไปลดการทำงานของวงจรให้น้อยลง เพื่ออุปกรณ์หลักจะไม่เกิดความร้อนมากจนเกินไป

ตัวต้านทานฟิวส์ ตัวต้านทานแบบนี้จะมีค่าความต้านทานคงที่ เมื่อมีกระแสไหลผ่านมากเกินไป ตัวต้านทานชนิดนี้จะทำหน้าที่
จำกัดการไหลของกระแส หรือทำหน้าที่เป็นฟิวส์ตัดการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้ผ่านวงจร

ประโยคความรวม (ภาษาไทย)

ประโยคความรวม



 
ประโยคความรวม  (อเนกัตถประโยค)  คือประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยใช้สันธานเป็นตัวเชื่อมแต่ก็สามารถแยกออกเป็นประโยคความเดียวที่มีใจความสมบูรณ์ได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเพิ่มส่วนใดส่วนหนึ่งในประโยค เช่น   

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
ฉันอ่านหนังสือแต่
น้องเล่นตุ๊กตา
ฉันอ่านหนังสือ
น้องเล่นตุ๊กตา
แต่
            ประโยคความรวมแบ่งย่อยได้เป็น ๔ แบบ ดังนี้

               ๒.๑  ประโยคที่มีเนื้อความคล้อยตามกัน คือ ประโยคความเดียว ๒ ประโยค
ที่นำมารวมกันโดยมีเนื้อความสอดคล้องกันมีสันธาน และ แล้ว  แล้ว...ก็  ครั้ง...จึง  
พอ...ก็ ฯลฯ เป็นตัวเชื่อม  แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ  คือ
                       ๒.๑.๑ ประธานหนึ่งคนทำกริยา ๒ กริยาต่อเนื่องกัน เช่น

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
พอฉันทำการบ้านเสร็จก็ไปดูโทรทัศน์ทันที
ฉันทำการบ้านเสร็จ
ฉันไปดูโทรทัศน์
พอ...ก็
                       ๒.๑.๒ ประธานสองคนทำกริยาอย่างเดียวกัน เช่น

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
สุมาลีและจินดาเรียน
ยุวกาชาดเหมือนกัน
สุมาลีเรียนยุวกาชาด
จินดาเรียนยุวกาชาด
และ
               ๒.๒ ประโยคที่มีเนื้อความขัดแข้งกัน  คือ  ประโยคความเดียว ๒ ประโยคที่นำมารวมกัน โดยมีเนื้อความขัดแย้งกัน กริยาในแต่ละประโยคตรงกันข้ามกันส่วนใหญ่จะมีสันธาน  แต่ แต่ทว่า กว่า...ก็  ฯลฯ เป็นตัวเชื่อม  เช่น

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
ฉันรักเขามากแต่ทว่า
เขากลับไม่รักฉันเลย
ฉันรักเขามาก
เขากลับไม่รักฉันเลย
แต่ทว่า
            ๒.๓ ประโยคที่มีเนื้อความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ประโยคที่มีกริยา ๒ กริยาที่ต่างกัน มีสันธาน หรือ  หรือไม่ก็ มิฉะนั้น...ก็  ฯลฯ เป็นตัวเชื่อม เช่น

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
แก้วหรือไม่ก็ก้อยไปช่วยแม่ยกของหน่อยจ้ะ
แก้วไปช่วยแม่ยกของ
ก้อยไปช่วยแม่ยกของ
หรือไม่ก็
           ๒.๔ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผล คือ ประโยคที่มีประโยคความ
เดียวประโยคหนึ่งมีเนื้อความเป็นประโยคเหตุและมีประโยคความเดียวอีกประโยค
หนึ่งมีเนื้อความเป็นประโยคผล มีสันธาน จึง ฉะนั้น ดังนั้น เพราะฉะนั้น ฯลฯ เป็นตัวเชื่อม  เช่น

ประโยคความรวม
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว
สันธาน
เพราะเธอเป็นคนเห็น
แก่ตัวจึงไม่มีใครคบค้า
สมาคมด้วย
เธอเป็นคนเห็นแก่ตัว
(ประโยคเหตุ)
ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
(ประโยคผล)
เพราะ...จึง
ข้อสังเกต        ประโยคความรวมที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลนั้น  ประโยคเหตุจะต้องมาก่อน
                      ประโยคผลเสมอ