หลักการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ
(VERB)
โดย อาจารย์นิวาต สมฟอง
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับนักศึกษาก่อน เรื่องการใช้คำกิริยาในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งในปัจจุบันนี้นักศึกษาจะเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน ยิ่งในยุคที่เรียกว่า “ ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน หรือ Globalization “ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก ซึ่งอาจารย์ผู้เขียนเอง ได้กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า “ คนยุคใหม่ถ้าไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย ก็ดูเหมือนว่าจะล้าสมัยเสียเหลือเกิน “ เพราะฉะนั้นหากนักศึกษามีความต้องการที่เข้าใย ( ต้องขอใช้คำว่า “ เข้าใจ “ ) นะครับ เพราะถ้าใช้คำว่า “ เก่ง “ ก็คงต้องใช้เวลาศึกษาหลายปีทีเดียว ดูเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่ห่างไกลเหลือเกิน .
นักศึกษาต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเองมีความชอบหรือมีทัศนคติอย่างไรกับการเรียนภาษาอังกฤษ ? ทำไม ต้องถามอย่างนั้น ก็เพราะว่า อย่างน้อยเราจะได้รู้ถึงขีดความสามารถของตัวเอง หรือขอบเขตความต้องการของเราก่อน
แต่รู้หรือไม่ครับ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศเขาบังคับให้นักศึกษาได้เรียนกัน
หากเราทำความเข้าใจและมีใจชอบหรือมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาอังกฤษก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของผู้ต้องการใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
การเรียนภาษาอังกฤษ หากจะเปรียบกับการฝึกจักรยานมันก็เป็นสิ่งที่ยากตอนเริ่มฝึกใหม่ ๆ เท่านั้นเอง อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ หากฝึกได้ บังคับทิศทางได้มันก็ไม่ยากอะไรเลย
ในการศึกษาภาษาอังกฤษนั้น ในปัจจุบันยิ่งสะดวกสบาย เนื่องจากว่ามีคู่มือมากมายหลายสำนักได้เขียนออกมา ซึ่งเราสามารถนำมาประกอบการเรียนได้อย่างดีเลยที่เดียว
อยากเก่งและเข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนคนอื่นเขาหรือเปล่า ?
ทีนี้อาจารย์ผู้เขียนจะได้แนะเคล็ดที่ไม่ลับให้กับเหล่านักศึกษา เมื่อเรียนกับอาจารย์แล้วรับรองว่าจะเข้าใจภาษาอังกฤษและรักมันมากยิ่งขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว ลองติดตามกันดู
หลักการง่าย ๆ ที่เราจะเข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ไม่อยากบอกว่ามี 3 อย่างคือ ประธาน + กิริยา + กรรม ( subject + verb + object ) เช่น
The students go to school by the bus.
มีหลายคนที่ไม่เข้าใจเลย เนื่องจากไม่มีหลักในการจับ เมื่อเห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษก็งง เป็นไก่ตาแตกเลย.
จากตัวอย่างข้างต้นที่ได้ยกมานั้น เราจะรู้ว่าประโยคนี้เขากล่าวถึงอะไรและหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไหน เป็นอดีต ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต ซึ่งในที่นี้เราจะใช้หลักการสังเกตจากคำกิริยานั่นเอง จากประโยคที่ว่า The students go to school by bus. กิริยาในประโยคคือ go เป็นตัวบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะว่า กิริยาเป็นรูปปัจจุบัน
ทีนี้เรามาทราบรายละเอียดกันเลยครับ
คำกิริยา
( VERB )
Verb คือ คำที่แสดงถึงอาการต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คำพูดที่แสดงถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกิริยาด้วยกันนั่นเอง กิริยาเป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญในแต่ละประโยค ถ้าในประโยคนั้น ๆ ขาดคำกิริยา ความหมายก็ไม่เกิดและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์
คำกิริยาตามหน้าที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. สกรรมกิริยา ( Transitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม หรือคำอื่นเข้ามารองรับความหมายจึงจะสมบูรณ์ เช่น The boys kick football in the field. หมายความว่า
พวกเด็ก ๆ เตะฟุตบอลอยู่ที่สนามหญ้า คำว่า “ kick “ เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์ว่าในขณะนี้หรือปัจจุบันนี้เด็ก ๆ กำลังเล่นกันอยู่ ส่วนคำว่า “ football ” เป็นตัวกรรมหรือตัวที่ทำหน้าที่รองรับกิริยาให้มีความหมายสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า “ kick “ คำเดียวความหมายไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเตะอะไร นั่นเอง
2. อกรรมกิริยา ( Intransitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรมหรือคำอื่นมารองรับก็ได้ความหมายสมบูรณ์เช่น The dogs run in the field. ประโยคนี้ไม่ต้องมีตัวกรรมมารองรับ ก็ได้ใจความสมบูรณ์ดี ซึ่งคำว่า “ run “ แปลว่า “ วิ่ง “ คงไม่ต้องถามว่าใช้อะไรวิ่งนะครับ
3. กิริยาช่วย ( Helping Verb หรือ Auxiliary Verb ) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วยกันมีความหมายดีขึ้น และยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเองมีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นได้ดีอีกด้วย เช่น She studies in Lamp – Tech college . Does she study in Lamp – Tech College ?
วิธีใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ
( HOW TO USE VERB )
คำกิริยาในภาษาอังกฤษตามหลักไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 3 ช่อง เรียกว่า “ กิริยา 3 ช่อง “ ซึ่งแต่ละช่องก็บอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเวลาได้อีกด้วย ตามตัวอย่างในตาราง ต่อไปนี้
ช่องที่ 1 | ช่องที่ 2 | ช่องที่ 3 |
run | ran | run |
see | saw | seen |
กิริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
กิริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
กิริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและอดีต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา หรือ Complement “
*** ตามความเห็นของอาจารย์ผู้เขียนนะครับ เปรียบคำกิริยาเหมือนกับผู้กำกับหนังหรือละคร ตัวประธาน ก็เหมือนพระเอกหรือนางเอก ส่วนตัวกรรมก็เหมือนกับบทบาท ของนักแสดงทั้งหมด ที่ผู้กำกับต้องคอยป้อน ว่าจะให้สมบทบาทแค่ไหน หรือแสดงออกมาสมจริงอย่างไร.
คำกิริยามีวิธีใช้อยู่ 2 วิธี คือ
1. ใช้เป็นกิริยาแท้ของประโยคที่มีตัวประธานเป็นบุรุษสรรพนาม
( ยกเว้นสรรพนามบุรุษที่ 3 )และตัวประธานที่เป็นพหุพจน์ เช่น
We want a book.
You
they
The boys want some books.
2. ใช้เป็นคำแสดข้อความที่มี to นำหน้ากิริยา เช่น to work , to go , to run , to buy เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมานั้นก็เป็นส่วนของคำกิริยา ซึ่งนักศึกษาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับนักศึกษา.
กล่าวโดยสรุปแล้ว คำกิริยาที่ได้ยกมาพูดตั้งแต่ต้น สามารถสรุปได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. กิริยาแท้ ( Finite Verb )
2. กริยาช่วย (Auxiliary Verb )
ในส่วนของกิริยาช่วยนั้นอาจารย์ผู้เขียนเอง ขอกล่าวเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ซึ่งได้ผ่านหูผ่านตานักศึกษามาบ้างแล้ว นั่นก็คือ
1. Verb to be ( is , am , are , was , were ) แปลว่า เป็น, อยู่ , คือ
2. Verb to have ( has , have , had ) แปลว่า มี
3. Verb to do ( do , dose, did ) แปลว่า ทำ
โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นว่า คำกิริยา ก็จะเป็นตัวแปร หรือตัวช่วยที่สำคัญ ที่ช่วยให้เราได้รู้
ถึงคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละประโยค ที่เรียกว่า” เหตุการณ์ “
ก่อนที่จะยุติเรื่องการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้นักศึกษาดู เพื่อประกอบการทำความเข้าใจ ขอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในชีวิตประจำวัน
Manit is a student of this college. Every day he gets up at 06.00 o’clock and then he hurry takes a shower, cleans his shoes and gets dressed. His house is near the college about 4 kilometers , some times when it is raining he is going to take a motorcycle with his friend.
คำที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรสำดำนั้น ล้วนแต่เป็นคำกิริยาทั้งสิ้น ซึ่งบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และยังบอกให้เราทราบว่าเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันอีกด้วย ทั้งนี้สังเกตที่คำกิริยานั่นเอง
หากนักศึกษาอยากเข้าใจให้มากขึ้นกว่านี้ นักศึกษาต้องพยายามอ่าน พูด และเขียนให้เยอะ ๆ จะได้มีทักษะมากขึ้น และในที่สุดการใช้ภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่ง่าย
และก่อนจาก ขอฝากข้อคิดไว้ว่า “ ไม่มีคำว่าแพ้ ในหมู่นักสู้ “
“ ความล้มเหลวของนักสู้ มิใช่อยู่ที่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่… อยู่ที่ไม่ยอมเริ่มต้นต่างหาก “